บทเรียน

กีฬาตะกร้อเป็นกีฬาที่เล่นได้งาย ขอให้มีพื้นที่ว่างเพียงพอในการเล่นก็สามารถเล่นได้ แต่การจะเล่นตะกร้อให่เก่งและมีความสามารถนั้นนักกีฬาต้องมีทักษะพื้นฐานของกีฬาตะกร้อซึ่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเป็นประจำ เชื่อว่าหากจัดอันดับนักกีฬาที่โด่งดังในเมืองไทย ชื่อของ “โจ้” สืบศักดิ์ ผันสืบ จอมเสิร์ฟหลังเท้าจากกีฬาตะกร้อต้องติดอันดับด้วยแน่ ๆ ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาบวกกับฝีไม้ลายเท้าอันยอดเยี่ยม เขาจึงก้าวขึ้นมาเป็นขวัญใจของแฟน ๆ กีฬาไทยได้อย่างไม่ยากเย็น นอกจากเราจะได้เห็นโจ้ในสนามแข่งตะกร้อแล้ว บางครั้งเรายังเห็นเขาที่หน้าจอโทรทัศน์โดยที่ไม่ใช่รายการถ่ายทอดสดการแข่งขันตะกร้อด้วยเพราะโจ้ถือเป็นนักกีฬาที่ “เตะตา” สินค้าหลาย ๆ ชิ้นจนได้รับการทาบทามให้เป็นพรีเซนเตอร์มากมาย น่าสนใจแบบนี้เราน่าจะลองพูดคุยกับเขาดู โจ้บอกว่าเขาเริ่มเล่นตะกร้อมาตั้งแต่ 10 ขวบแล้วด้วยเหตุว่า “รุ่ง” กว่าการเล่นฟุตบอลกีฬายอดนิยมนั่นเอง เขาเล่าว่า “ตอน 10 ขวบผมเตะฟุตบอลด้วย ตะกร้อด้วย คู่กันไป ที่เลือกตะกร้อเพราะพอเล่นไปพักนึงแล้วตะกร้อดูจะรุ่งกว่า ฟุตบอลตกรอบกีฬาอำเภอ ส่วนตะกร้อได้แชมป์เลยเล่นตะกร้อดีกว่า” หากยังจำกันได้ สมัยก่อนนั้น “ลูกตะกร้อ” ใช้เป็นลูกที่สานจากหวาย โจ้บอกว่าเขาทันเล่นลูกหวายด้วยประมาณ 3 ปีสุดท้ายก่อนเปลี่ยนเป็นลูกพลาสติก (เหตุผลที่เปลี่ยนลูกเพราะว่า “ต้องการให้กีฬาตะกร้อเป็นสากลมากขึ้น ลูกที่ใช้แข่งจึงต้องหาซื้อได้ทั่วโลก ไม่ใช่ลูกหวายที่มีแค่ในแถบอาเซียนนี้เท่านั้น) ความทรงจำเกี่ยวกับลูกหวายของโจ้คือ “ตะกร้อหวาย เสิร์ฟแต่ละลูกมีน้ำหนักมาก คนรับด้วยหัวก็แย่เหมือนกันเพราะน้ำหนักมันมาเต็ม ๆ เลยครับ” แน่นอนด้วยตำแหน่งที่โจ้เล่นคือ “แบ๊ค” หรือ “ตัวเสิร์ฟ” ที่ต้องสัมผัสกับตรงนี้โดยตรง ความทรงจำของเขาจึงแจ่มชัดเป็นพิเศษ…แต่ทำไมโจ้ถึงเลือกเล่นตำแหน่งนี้ล่ะหรือ? “เล่นตำแหน่งตัวเสิร์ฟมาตลอดเลยครับ ที่เล่นเพราะด้วยรูปร่างที่สูงมาตั้งแต่เด็กมันเหมาะกับตำแหน่งนี้ครับ อย่างเราจะขึ้นฟาดหน้าเน็ทมันก็ไม่คล่องเท่าคนที่ตัวเล็กกว่าน่ะครับ ส่วนคนที่ตัวเล็ก ๆ กว่านั้น ตำแหน่งที่เหมาะสมก็คือเล่นเป็นตัวชง” โจ้ตอบคำถาม เพราะการเล่นเป็นตัวเสิร์ฟ นั่นทำให้เขาสร้าง “เอกลักษณ์” เป็นของตนเองได้ นั่นก็คือ “ลูกเสิร์ฟหลังเท้า” ที่ทรงประสิทธิภาพมาก ๆ ในการเล่น แต่ที่จริงแล้วโจ้ไม่ใช่คนแรกที่เล่นลูกเสิร์ฟหลังเท้าเพราะต้นตำรับที่แท้จริงคือรุ่นพี่ในทีมชาติอย่าง “กิตติภูมิ นามสุข” “ตอนนั้นเก็บตัวร่วมกันในนามทีมชาติเลยขอคำแนะนำจากพี่เค้า ผมคิดว่ารูปร่างของผมสูงกว่าพี่เค้าก็น่าจะลองลูกใหม่ ๆ ดู พี่เค้าก็ให้คำแนะนำเราดี เพราะการเสิร์ฟหลังเท้านี่มันต้องใช้กล้ามเนื้อค่อนข้างจะพิเศษกว่าลูกเสิร์ฟข้างเท้าด้านในครับ” โจ้เล่า เพราะการที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแบบ “Over Training” ในการเล่นลูกเสิร์ฟหลังเท้า (โจ้บอกว่าความจริงกีฬาตะกร้อมันก็ต้องใช้กล้ามเนื้อในแบบ “Over Training” อยู่แล้ว) น้อง ๆ ที่คิดจะเล่นลูกแบบนี้ โจ้แนะนำว่าต้องวอร์มร่างกายให้ถึงเสียก่อน ยืดกล้ามเนื้อทุกส่วนโดยเฉพาะหลังและตะโพก ประสิทธิภาพของลูกเสิร์ฟหลังเท้านั้นโจ้บอกว่า “วงสวิงของการวาดเท้ามันกว้างกว่าการใช้ข้างเท้าด้านในเสิร์ฟไงครับ เสิร์ฟไป 10 ลูกนี่ข้ามไปได้ถึง 9 ลูกและแต่ละลูกโอกาสได้แต้มมีสูงเมื่อเทียบกับเสิร์ฟแบบข้างเท้าด้านในที่เสิร์ฟ 10 ลูก อาจจะข้ามไป 6-7 ลูกเท่านั้นเอง และข้ามไปแล้วก็หวังผลไม่ได้ 100%” เบสิคของตะกร้อดูเผิน ๆ เหมือนกับฟุตบอล (จำได้ไหมว่าตอนโจ้เริ่มเล่นใหม่ ๆ เขาเล่นฟุตบอลไปด้วย) แต่ถ้าลงลึกไปจริง ๆ แล้ว การเดาะตะกร้อเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเล่นตะกร้อมากกว่าฟุตบอลเสียอีกเพราะฉะนั้น น้อง ๆ ที่คิดจะเอาดีทางตะกร้อ โจ้แนะนำได้คำเดียวว่า “เดาะไปเถอะครับ 100 ครั้ง 1,000 ครั้งก็ต้องเดาะ”